10เคล็ดลับในการดูแลร่างกายเพื่อให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง

             การดูแลสุขภาพของตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอจะช่วยให้เรานอนหลับสบาย และเพิ่มความสามารถในการทำงาน หรือกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้น แถมยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี ดั่งคำที่ว่า “ความสุขที่แท้จริง เริ่มต้นจากสุขภาพที่ดี”

            นอกจากนี้การดูแลสุขภาพให้ดียังช่วยลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรงได้อีกด้วย ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ ก็มี 10 เคล็ดลับง่าย ๆ ในการดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง บ้างมีดังนี้

การเลือกรับประทานอาหารเป็นหนึ่งในวิธีง่าย ๆ ในการดูแลสุขภาพ
  1. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ
  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  4. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วต่อวัน 
  5. ปรับวิธีคิดให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพจิตที่ดี 
  6. การฝึกทำสมาธิ และปล่อยวางจากความเครียด 
  7. ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เมื่อออกไปที่สาธารณะ 
  8. ทานอาหารเสริม 
  9. งดดื่มสุรา ของมึนเมา และบุหรี่ 
  10. เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ

            หนึ่งในการดูแลสุขภาพที่ดีอย่างการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะทำให้เรารับรู้สภาพร่างกายของเราได้ดีมากขึ้น อีกทั้งยังลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคในอนาคตได้ เพราะว่าโรคร้ายบางอย่างจะต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ หากว่าเราเข้ารับการดูแลสุขภาพ และตรวจสุขภาพเป็นประจำก็จะเจอโรคได้เร็วขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน 10เคล็ดลับในการดูแลร่างกายเพื่อให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง

6 โรคฮิตในหน้าฝนที่ต้องเฝ้าระวังในเด็กเล็ก


เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่สภาพอากาศเย็นลงและมีความชื้นสูง เป็นช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสและแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคติดเชื้อต่างๆ ตามมามากมาย แม้ในยุคนี้ที่ทุกคนตื่นรู้กับโรคระบาดมากขึ้น แต่สำหรับเด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ อาจมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและนำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยสังเกตได้จากความหนาแน่นของหอผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลหลายแห่งตลอดช่วงหน้าฝน ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคที่มาพร้อมฤดูฝนในเด็กเล็ก ทั้งสาเหตุและวิธีป้องกัน จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการและหาทางป้องกันได้อย่างทันท่วงที โดย 6 โรคที่มักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน ได้แก่

1)     โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็กจำนวนมากต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลช่วงหน้าฝน คงหนีไม่พ้นชื่อของเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่ระบาดในกว่า 90% ของเด็กช่วงวัยสองปีแรก1 2 3 และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง (LRTI) ในเด็กทั่วโลก4  แม้ว่าส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง ลักษณะคล้ายหวัดทั่วไป มีไข้ต่ำ ไอ คัดจมูก แต่หากเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง อาทิ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (เกิดก่อนอายุครรภ์ 35 สัปดาห์) หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ และสิ่งที่ทำให้พ่อแม่หลายคนเป็นกังวลนั้นเพราะในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะทาง ดังนั้น การป้องกันจึงจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กกลุ่มเสี่ยง ทั้งการหมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และรักษาสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV ในเด็ก แต่หลายประเทศได้เริ่มอนุมัติการใช้ยาแอนติบอดีที่สามารถป้องกันการเกิดโรครุนแรงในเด็กกลุ่มเสี่ยงจากเชื้อ RSV ได้แล้ว5 นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญทางการแพทย์เพื่อช่วยปกป้องประชากรกลุ่มนี้

2)     โรคมือเท้าปาก

แม้โรคมือเท้าปากในเด็กจะเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่พบการระบาดที่มากขึ้นในฤดูฝน โดยอาการส่วนใหญ่จะมีไข้ ร่วมกับผื่น ตุ่มน้ำใสขึ้นตามฝ่ามือ-เท้า มีแผลในปาก พบบ่อยในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนถึง 3 ปี ซึ่งสามารถติดต่อกันได้โดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย การไอจาม หรือโดยอ้อมผ่านของใช้หรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเป็นโรคที่สามารถหายได้เอง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและงดใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น เด็กควรมีกระติกน้ำหรือแก้วส่วนตัวสำหรับใช้ที่โรงเรียน รวมถึงการฝึกให้เด็กใช้ช้อนกลาง สำหรับเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี อาจพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปากตามคำแนะนำของแพทย์

3)     โรคไข้เลือดออก

อีกหนึ่งโรคติดต่อที่ระบาดหนักเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน เพราะมีพื้นที่น้ำขังให้ฟักตัวยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคนี้ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะแตกต่างจากไข้หวัดชนิดอื่นตรงที่เมื่อเด็กได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงต่อเนื่อง แม้ทานยาลดไข้แล้วแต่อาการจะยังคงไม่บรรเทา หากสังเกตว่าใบหน้าและตาเริ่มแดง มีอาการปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และเป็นไข้ติดต่อกันเกิน 3 วัน ให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นไข้เลือดออก ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ ไม่ควรรอจนอาการเริ่มรุนแรง เพราะหากไข้ขึ้นสูงอาจทำให้เกิดอาการช็อคหรือมีจุดเลือดออกได้ สำหรับการป้องกันที่ดีที่สุดคือระวังอย่าให้ยุงกัด และคอยตรวจสอบพื้นที่น้ำขังเพื่อทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณที่พักอาศัยและสถานศึกษา นอกจากนี้ ผู้ปกครองอาจพิจารณาให้เด็กเข้ารับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตามคำแนะนำของแพทย์

4)     โรคไข้หวัดใหญ่

เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงสามารถพบโรคไข้หวัดใหญ่ได้เกือบทั้งปี แต่ฤดูกาลระบาดหนักมักเกิดในช่วงฤดูฝนเช่นเดียวกัน โดยอาการไข้ที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบเฉียบพลัน และเนื่องจากโรคนี้สามารถเป็นได้ทุกวัย จึงแพร่กระจายได้ง่ายในครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดกัน ความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดานั้นคือโรคไข้หวัดใหญ่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการส่วนใหญ่ที่พบจะมีไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว ไอหรือเจ็บคอ ทั้งนี้ สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี หรือผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งควรเข้ารับช่วงประมาณ 1-2 เดือนก่อนเข้าฤดูกาลระบาดหรือหน้าฝนของทุกปี สามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป6

5)     โรคท้องเสียหรืออุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า

ไวรัสโรต้า (Rotavirus) คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคท้องร่วงเฉียบพลันในเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โดยติดต่อผ่านการรับประทานอาหารหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ หรือนำมือที่สัมผัสเชื้อเข้าปาก เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ อาการส่วนใหญ่ที่พบคือ คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระถ่ายเหลวต่อเนื่อง บางรายอาจมีไข้สูง ทานได้น้อย หากท้องเสียติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตได้ ดังนั้น การดูแลสุขอนามัยที่ดีของเด็กจึงสำคัญมาก รวมถึงการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการเข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าตั้งแต่วัยทารก ซึ่งเป็นชนิดรับประทาน (หยอด) เริ่มให้กับทารกได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนเป็นต้นไป7

6)     โรคไอพีดี (Invasive Pneumococcal Disease)

โรคไอพีดี (IPD) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรครุนแรงหลายชนิดในเด็กขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มีการติดเชื้อ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งล้วนเป็นภาวะที่ร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี และมีความเสี่ยงสูงในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคธาลัสซีเมีย หรือภาวะไม่มีม้าม เป็นต้น แบคทีเรียนิวโมคอคคัสสามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยจากข้อมูลการประเมินขององค์การอนามัยโลกพบว่า มีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงราว 1 ล้านคนต่อปี8 วัคซีนจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและลดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้ โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และสามารถเริ่มฉีดได้เมื่ออายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป9 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันควบคู่ไปกับการดูแลสุขอนามัยที่ดีให้กับเด็ก

เพราะเด็กเล็กทุกคนมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน การป้องกันและหมั่นสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ หรือหากบุตรหลานมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยโรคได้เร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความรุนแรงของโรคได้มากขึ้น

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน 6 โรคฮิตในหน้าฝนที่ต้องเฝ้าระวังในเด็กเล็ก

สัญญาณเตือนอาการของโรคไข้เลือดออกพร้อมวิธีดูแลรักษา

โรคไข้เลือดออกนั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งชื่อไวรัสเดงกี​ (dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ โดยทั่วไปโรคไข้เลือดออกมักพบมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากยุงลายมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูนี้ ซึ่งอาการของโรคไข้เลือดออกนั้นมีตั้งแต่อาการเป็นไข้สูง บางรายหากเข้ารับการรักษาช้าก็อาจจะรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

สัญญาณเตือนและอาการของโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลาย เป็นพาหะที่สำคัญ โดยหลังจากที่ถูกกัดประมาณ 3-8 วัน ก็จะเริ่มมีอาการของไข้เลือดออกเกิดขึ้น ดังนี้

  • มีไข้สูงเกือบตลอดเวลา
  • มีผื่นแดงหรือจุดเลือดออกตามตัว
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว หรือปวดกระดูก
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา
  • หากมีอาการรุนแรงอาจเกิดเลือดออกผิดปกติ และอาการช็อกได้

ซึ่งส่วนมากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น มีเลือดออกมากผิดปกติหรือมีอาการช็อก ส่วนใหญ่มัก จะเกิดจากการติดเชื้อซ้ำ เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อซ้ำจะมีอาการรุนแรงมากกว่า

ไข้เลือดออก

ปัจจุบันเชื้อไข้เลือดออกทั้งหมดมีอยู่ 4 สายพันธุ์ด้วยกัน หากพบว่ามีการติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 และเป็นการติดเชื้อมาจากไวรัสเดงกีสายพันธุ์ที่ 2 ก็อาจจะมีอาการรุนแรงมากกว่ากรณีอื่น ๆ 

วิธีรักษาอาการของโรคไข้เลือดออก

สำหรับปัจจุบันวิธีรักษาอาการของโรคไข้เลือดออกนั้นยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่ออกฤทธิ์ทำลายเชื้อไข้เลือดออกหรือเชื้อไวรัสเดงกีได้โดยตรง ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยหลัก ๆ เป็นการให้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล ซึ่งการให้ยาลดไข้มีความสำคัญ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงยาลดไข้ตัวอื่นที่อาจจะมีความสัมพันธ์ กับอาการ เลือดออก ผิดปกติได้ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน (aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen)

นอกจากนี้ยังควรเฝ้าระวังและสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยมีอาการ ปวดท้อง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อม ๆ กับไข้ลดลง หรือมีอาการหน้ามืด ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ก่อนที่ผู้ป่วยจะเกิดอาการช็อกได้

ป้องกันยุงลาย

ป้องกันอย่างไรให้ไกลจากโรคไข้เลือดออก

การป้องกันการเกิดไข้เลือดออกที่ดีที่สุด ก็คือ การระวังไม่ให้ถูกยุงลายกัด 

สำหรับการป้องกันยุงลายนั้นสามารถทำได้ ดังนี้

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
  • หลีกเลี่ยงภาชนะที่มีน้ำขังต่าง ๆ 
  • ตุ่ม โอ่งต้องมีฝาปิดมิดชิด
  • ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำ เช่น แจกัน ทุก ๆ 7 วัน
  • ใส่ทรายอะเบตลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร และควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน
  • ป้องกันการถูกยุงกัดที่เหมาะสม เช่น ทายาป้องกันยุง หรือใช้ยากันยุง เป็นต้น 
  • สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อลดโอกาสการถูกยุงกัด

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกที่พูดถึงกันมากที่สุดในปัจจุบัน นั่นก็คือ การใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก วัคซีนจะสามารถใช้ได้ผลดีและลดความรุนแรงได้โดยเฉพาะในคนที่เคยป่วยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน 

สรุป

ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยมักจะมีไข้สูงเกิน 3 วัน ตามตัวอาจมีจุดหรือผื่นแดง อ่อนเพลีย ซึม หากรุนแรงอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องบริเวณชายโครงขวาร่วมด้วย

ซึ่งการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไข้เลือดออกนั้นสามารถทำได้โดย “อย่าให้ยุงกัดและอย่าให้ยุงเกิด” ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายต่าง ๆ นั่นเอง

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน สัญญาณเตือนอาการของโรคไข้เลือดออกพร้อมวิธีดูแลรักษา

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า เป็นอาการผิดปกติของอารมณ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั้งด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม โรคซึมเศร้าเป็นภาวะอารมณ์เศร้าหมองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกเฉยชา ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งก่อให้เกิดอาการทางจิตได้มากมาย การดำเนินชีวิตตามปกติอาจทำได้อย่างยากลำบากหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่า

ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่ความรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจที่สามารถสลัดออกไปได้ง่าย ๆ ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้าควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและยาวนานซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยถอดใจ การรักษา เช่น การทานยาหรือจิตบำบัด หรือทั้งสองอย่าง สามารถช่วยผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้กลับมามีอาการที่ดีขึ้น

อาการของโรคซึมเศร้า

เมื่อมีอาการซึมเศร้าครั้งหนึ่งแล้ว อาการอาจกำเริบขึ้นได้อีก ภาวะโรคซึมเศร้ามักจะเกิดขึ้นเป็นระลอก อาการที่อาจพบได้เสมอๆ ได้แก่

  • รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า อยากร้องไห้ สิ้นหวัง
  • รู้สึกโกรธ หงุดหงิด รำคาญเรื่องเล็กน้อย
  • หมดความสนใจ หรือรู้สึกไม่สนุกกับกิจกรรมส่วนใหญ่หรือกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เช่น เพศสัมพันธ์ กีฬา หรืองานอดิเรก
  • ปัญหาด้านการนอนหลับ เช่น นอนมากเกินไป หรือ นอนไม่หลับ
  • เหนื่อยล้า ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
  • ความอยากอาหารลดลง น้ำหนักลด หรือ ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น น้ำหนักขึ้น
  • รู้สึกวิตกกังวล กระสับกระส่าย ประหม่า
  • คิดช้าลง พูดหรือขยับร่างกายช้าลง
  • รู้สึกไร้ค่า รู้สึกผิด หมกหมุ่นเรื่องความล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วหรือโทษตัวเอง
  • ขาดสมาธิ มีปัญหาเรื่องความจำ หรือไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจเองได้
  • คิดถึงเรื่องความตาย การพยายามฆ่าตัวตายบ่อย ๆ
  • มีอาการป่วยทางกายที่ไม่พบสาเหตุ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักมีอาการมากจนกระทบชีวิตประจำวัน เช่น การไปโรงเรียน การทำงาน หรือการพบปะสังสรรค์ บางรายอาจรู้สึกเศร้าหมอง ไม่มีความสุขโดยไม่ทราบสาเหตุ

ภาวะซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่น
อาการของโรคซึมเศร้าในทุกวัยมักมีอาการคล้าย ๆ กัน แต่อาจมีบางอาการที่ต่างกันไปตามวัย

  • ในวัยเด็ก อาจมีอาการเศร้า รำคาญ เกาะติดพ่อหรือแม่ กังวล น้ำหนักลด ไม่อยากไปโรงเรียน หรือมีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย
  • ในวัยรุ่น อาจมีอาการเศร้า รำคาญ หงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย รู้สึกไร้ค่า มักรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ขี้ใจน้อย  หมดความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ไม่เข้าสังคม ใช้สารเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ นอนหรือทานอาหารมากเกินไป ทำร้ายตัวเอง โดดเรียน หรือการเรียนแย่ลง

ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงวัย
ภาวะซึมเศร้าพบได้บ่อยในผู้สูงวัย แต่ไม่ถือเป็นภาวะปกติของคนสูงวัย ภาวะดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงและควรได้รับการรักษาทันท่วงที แต่โดยมากผู้ป่วยมักไม่ยอมเข้ารับการรักษาและวินิจฉัยโรค ในผู้สูงวัยมักมีอาการต่างออกไปหรือไม่ชัดเจน ได้แก่

  • พฤติกรรมเปลี่ยน ความจำถดถอย
  • อาการเจ็บปวดตามร่างกาย
  • เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร มีปัญหาด้านการนอน หมดความสนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ซึ่งไม่สัมพันธ์กับยาหรืออาการอื่น ๆ
  • มีความคิดหรือความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในเพศชายสูงอายุ
อาการของโรคซึมเศร้า รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า อยากร้องไห้ สิ้นหวัง

ควรพบแพทย์เมื่อไร

เมื่อรู้สึกว่ามีภาวะซึมเศร้าควรรีบพบแพทย์โดยทันที หรือคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือคนใกล้ชิดที่ไว้วางใจ

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

สาเหตุที่แท้จริงของโรคซึมเศร้านั้นยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะอาการนั้นสัมพันธ์กับความผิดปกติทางจิต ปัจจัยหลาย ๆ ด้านจึงอาจส่งผลกระทบได้

  • ความแตกต่างทางด้านชีวภาพ:  ได้พบความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสมองในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อโรคซึมเศร้ายังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด แต่อาจจะช่วยชี้นำไปสู่สาเหตุของโรคได้
  • สารเคมีในสมอง: สารสื่อประสาทในสมองส่งผลต่อความรู้สึก จากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองและปฏิสัมพันธ์ของสารดังกล่าวกับวงจรระบบประสาท อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งสำคัญต่อการรักษา
  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน: ระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลอาจจะเป็นตัวกระตุ้นภาวะซึมเศร้า โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตร หรือหลังหมดประจำเดือน ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์แปรปรวนหากมีภาวะโรคไทรอยด์หรือโรคอื่น ๆ
  • พันธุกรรม: ความเสี่ยงของการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้นหากสมาชิกในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน

ปัจจัยเสี่ยงโรคซึมเศร้า

ภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่อาการมักเริ่มตั้งแต่ในวัยรุ่น  และมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่อาจเป็นเพราะเพศหญิงมักเข้ารับการรักษามากกว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีดังนี้

  • ลักษณะนิสัยบางประการ เช่น การมองโลกในแง่ร้าย การตำหนิติเตียนตนเอง การพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป การไม่นับถือตนเอง
  • ผ่านเหตุการณ์ที่สร้างความบอบช้ำทางจิตใจ เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ สูญเสียคนในครอบครัวหรือบุคคลอันเป็นที่รัก มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ หรือปัญหาด้านการเงิน
  • คนในครอบครัวมีประวัติติดสุราเรื้อรัง ฆ่าตัวตาย เป็นโรคซึมเศร้า และไบโพลาร์
  • ภาวะเบี่ยงเบนทางเพศสภาพ ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง
  • มีประวัติความเจ็บป่วยทางจิตเวช เช่น พฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ โรควิตกกังวล หรือสภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง
  • ภาวะติดสุราหรือสารเสพติด
  • โรคเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
  • การใช้ยา เช่น ยานอนหลับ หรือยาลดความดันโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเปลี่ยนหรือหยุดยาทุกครั้ง

ภาวะแทรกซ้อน

โรคซึมเศร้าเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อผู้ป่วยและผู้คนรอบข้าง อาการมักแย่ลงหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพและการใช้ชีวิต ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ ดังนี้

  • ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจและโรคเบาหวาน
  • ความเจ็บปวดและเจ็บป่วยทางร่างกาย
  • การติดสุราและสารเสพติด
  • โรควิตกกังวล โรคแพนิค หรือโรคกลัวสังคม
  • ปัญหาด้านความสัมพันธ์ เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน และโรงเรียน
  • แยกตัวออกจากสังคม
  • คิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย
  • ทำร้ายตัวเอง
  • การตายก่อนวัยอันควร

การป้องกันโรคซึมเศร้า

ยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะซึมเศร้า แต่หากเริ่มมีอาการผู้ป่วยควรจะ

  • ควบคุมอารมณ์ความเครียด ยืดหยุ่น รักและนับถือตนเอง
  • พูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน โดยเฉพาะในช่วงเวลายากลำบาก เพื่อระบายความรู้สึก
  • เมื่อเริ่มรู้สึกซึมเศร้า ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง
  • ควรเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะซึมเศร้าเกิดซ้ำ

บทความโดย
พญ.ฐิติพร ศุภสิทธิ์ธำรง
จิตแพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน โรคซึมเศร้า

นอนอย่างไรให้สุขภาพดี..

การนอนหลับมีความสำคัญกับสุขภาพของคนเรา เนื่องจาก 1 ใน 3 ของชีวิตคนเราในแต่ละวันเป็นเรื่องการพักผ่อนด้วยการนอนหลับ หรือ 8 ชั่วโมง จาก 24 ชั่วโมง ในแต่ละวัน การนอนมีความหมายมากที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี

ข้อแนะนำ การนอนหลับในช่วยอายุที่แตกต่างกัน เพราะตามธรรมชาติของร่างกายที่อายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะต้องการการนอนหลับน้อยลง คุณภาพการนอนหลับไม่ลึกเหมือนช่วยอายุน้อย ๆ

– แรกเกิด ต้องการการนอนหลับ 20 ชั่วโมง ขึ้นไป

– ขวบปีแรก ต้องการนอนหลับ 12 ชั่วโมง ขึ้น

– เด็กวัยประถม 9-11 ชั่วโมง

– เด็กวัยรุ่น 10 ชั่วโมง

– เด็กมหาวิทยาลัย 7-9 ชั่วโมง

– ผู้ใหญ่ตอนต้น 7-9 ชั่วโมง

– ผู้ใหญ่ตอนกลาง ถึงตอนปลาย 7-8 ชั่วโมง

ทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตการนอนมีคุณภาพที่ดี

– ไม่จำเป็นต้องนอน 8 ชั่วโมง แต่สามารถนอนได้อย่างเพียงพอมีคุณภาพ หรือนอนเพียงแค่ 5-6 ชั่วโมงก็สามารถตื่นนอนขึ้นมาสดชื่นได้ เพราะนอนหลับลึกเพียงพอ และร่างกายต้องการเพียงพอ ก็สุขภาพดีได้

– ตัวเลขการนอนหลับ 8 ชั่วโมง นั้น เป็นสถิติทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสร้างความกดดันให้ตัวเองว่าจำเป็นต้องนอนเยอะถึง 8 ชั่วโมง

– กลุ่มคนอัจฉริยะ หรือ Short Sleeper เป็นกลุ่มคนที่นอนน้อย สดชื่น สามารถทำงานได้อย่างปกติ

ปัญหาเกี่ยวกับการนอน

1. การนอนไม่หลับ (insomnia)

2. วงจรการหลับการตื่นเสียสมดุล เช่นการเดินทางข้ามทวีป (Circadian Rhythm Disorders or Jet Lag)

3. การเคลื่อนไหวร่างกายผิดปกติ (Movement Disorders) ซึ่งรบกวนการนอน

นอนไม่หลับ ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการ ซึ่งเกิดร่วมกับความผิดปกติในร่างกายและจิตใจ ลักษณะของการนอนไม่หลับ คือ ใช้เวลาในการนอนหลับ อาจเป็นชั่วโมงกว่าจะนอนหลับได้ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน หรือตื่นแล้วไม่หลับอีกเลย ดูเหมือนหลับแต่ความจริงแล้วรู้สึกตัวว่านอนไม่หลับ และตื่นเร็วกว่าปกติ

การนอนหลับที่มีคุณภาพ คืออะไร

1. ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น

2. จำนวนชั่วโมงนอนไม่สำคัญ

3. การนอนหลับด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย ร่างกายได้ยืดเหยียด ยืดเส้น ยืดสาย

4. การนอนหลับด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด

5. การนอนหลับในตอนที่ร่างกายง่วงจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองว่าต้องเข้านอนเวลานั้น เวลานี้ เพื่อกดดันร่างกาย และจิตใจ หรือยิ่งตั้งใจจะนอนหลับ จะยิ่งหลับยาก

6. การได้พักผ่อน หลับหรือไม่หลับจริง ๆ เท่ากับการที่ร่างกายได้รับการผ่อนคลาย ร่างกายสามารถ หลั่งฮอร์โมน และไม่หลั่งสารเคลียด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ปกติ และผ่อนคลายอย่างมีคุณภาพของร่างกายและจิตใจ สำคัญเท่ากับการนอนที่ีมีคุณภาพ (การผ่อนคลายที่มีคุณภาพ = การนอนหลับ)

7. การรักษาการนอนไม่หลับ ง่ายๆ คือ 1. การปรับพฤติกรรมและความเชื่อ เพื่อให้นอนหลับได้ดีขึ้น 2. รักษาด้วยยา เนื่องจากไม่สามารถนอนหลับด้วยตนเองได้เป็นระยะเวลานาน เพราะมีความเครียด ซึ่งจะใช้ยานอนหลับในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อสามารถปรับพฤติกรรมและความเชื่อ ได้ถูกต้องแล้ว ร่างกายนอนหลับได้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา

10 วิธี ที่ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น แบบยั่งยืน

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ ออกทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง ระวังไม่ควรออกกำลังกายก่อนนอน

2. ไม่งีบหลับตอนกลางวัน หรือตอนเย็น เพราะจะทำให้นอนหลับยากตอนกลางคืน และสมองเรียนรู้ผิด ๆ ว่าร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนไปแล้ว หรือหากอยากงีบหลับ ให้นั่งงีบหลับ แต่ไม่ให้อยู่ในท่านอน และไม่เกิน 30 นาที

3. งดเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ช็อคโกแลต และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รวมถึงแอลกอฮอล์ และบุหรี่

4. งดอาหารมื้อดึก และไม่ควรรับประทานน้ำเปล่ามากในช่วงค่ำ ปกติร่างกายไม่หลั่งน้ำย่อยตอนกลางคืนอยู่แล้ว

5. ไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้จิตใจได้รับการกระตุ้นก่อนนอน เช่น ดูหนัง อ่านหนังสือ พูดคุย เรื่องที่เครียด กระตุ้นจิตใจให้ตื่นเต้น ลุ้น และเคร่งเครียด

6. งดเล่นอุปกรณ์มือถือ สมาร์ทโฟน เวลา 30 นาทีก่อนเข้านอน เพราะอุปกรณ์มือถือ สมาร์ทโฟน มีผลทำให้หลับยาก เพราะแสงสีฟ้าจากจอ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ายังไม่มืด และหลั่งสารเมลาโตนิน ทำให้หลับยาก และเราได้รับข้อมูลเข้ามาตลอดเวลา ทำให้สมองไม่ได้พักผ่อน และนอนหลับไม่ดี คลื่นสมองไม่ปลอดโปร่ง (Alpha Wave) นอนหลับไม่ลึก

7. พยายามจัดเวลาสำหรับการพักผ่อน เพื่อให้ผ่อนคลาย เพื่อให้สมองโล่งปลอดโปร่ง ก่อนเข้านอน เช่นการฟังเพลงบรรเลงที่ช่วยปรับให้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือนั่งสมาธิ สวดมนต์ ให้จิตใจสบาย ผ่อนคลาย อ่านหนังสือที่เป็นเรื่องที่เบาสบาย ทำให้จิตใจสบาย ผ่อนคลาย ดู หรือนึกถึงภาพ ธรรมชาติ

8. ปรับห้องนอนให้เหมาะสม อุณภูมิ แสง ความนุ่มสบาย

9. เตียงนอนมีไว้สำหรับนอน ไม่ควรทำกิจกรรมอื่น ๆ บนเตียง เช่นโทรศัพท์ กินอาหาร อ่านหนังสือ และฯลฯ

10. เมื่อเอนตัวลงนอนแล้วให้หยุดคิดเรื่องที่เครียด ไม่สบายใจ ดังนั้นก่อนนอน ให้เขียนจดบันทึกสิ่ง ที่ไม่สบายใจลงไปบนกระดาษ ว่าอะไรคืออะไรที่เราแก้ไขได้ และอะไรที่เราแก้ไขไม่ได้ การเขียนที่ชัดเจนจะทำให้สมองโล่งขึ้น จิตใจจะสบายขึ้น เรื่องที่แก้ไขไม่ได้เราต้องปล่อยวาง ทักษะการปล่อยวาง คือทักษะที่สำคัญของมนุษย์ อย่างนึง เพราะเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ หากเรารู้ชัด จะมีสติมากขึ้น

11. ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ หลังอาหารเย็น เพราะจะทำให้ตื่นมาปัสสวะ และขัดจังหวะการหลับลุก ดังนั้นก่อนเข้านอนควรเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และหรือหากตื่นมาเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องกังวล ให้กลับไปนอนหลับอย่างผ่อนคลายต่อไป

12. ไม่ควรรู้สึกกังวล หรือเครียดหากนอนไม่หลับ หากเข้านอนผ่านไป 30 นาทีแล้วยังไม่หลับ ก็ให้หากิจกรรมผ่อนคลายทำ จนกว่าจะรู้สึกง่วงนอนแล้วจึงกลับเข้าไปนอนอีกครั้ง

13. อย่าวิตกกังวล แล้วดูนาฬิกาบ่อยๆ เพราะเป็นการกดดันตัวเอง ทำให้เครียด และนอนไม่หลับในที่สุด

14. หากคู่ของท่านเป็นคนนอนกรน และทำให้ท่านนอนหลับยาก ให้ท่านใช้ที่อุดหู และพาคู่ของท่าน ไปพบแพทย์ เพื่อรักษาอาการนอนกรน แต่หากท่านยังคงนอนไม่หลับ ให้แยกเตียงนอนชั่วคราว เพื่อให้ท่านได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ

15. ควรตื่นนอนตรงเวลาทุกๆ วัน ไม่ว่าท่านจะเข้านอนที่เวลากี่โมงก็ตาม เพราะจะทำให้วงจร การนอนหลับของท่านสมดุลย์ และไม่ควรตื่นนอนหลังเวลา 8 โมงเช้า เพราะร่างกายสัมพันธ์ กับพระอาทิตย์ขึ้นแลพระอาทิตย์ตก

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน นอนอย่างไรให้สุขภาพดี..

โรคฮิตหน้าฝนที่เด็กเล็กต้องระวัง

  1. โรคไข้หวัดใหญ่ หรือ Influenza เป็นโรคที่พบบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปีเพราะไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการหลักๆ เด็กจะมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ไอ หรือเจ็บคอ ซึ่งเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น
  2. โรคมือเท้าปาก เกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) พบได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูฝน สำหรับกลุ่มอาการของโรคเด็กจะมีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขาและก้นร่วมด้วย พบมากในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี (อนุบาลถึงประถม)
  3. โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่มียุงลาย เป็นพาหะนำโรค มีโอกาสเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดถ้าได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป ตาและหน้าจะเริ่มแดง มีความรูสึกอ่อนเพลียและปวดท้อง โรคนี้ระบาดได้ทั้งปีโดยเฉพาะหน้าฝน เพราะโอกาสที่น้ำขังมีได้มาก เพราะฉะนั้นอาการที่บ่งบอกว่าลูกอาจเป็นไข้เลือดออก คือ มีไข้สูงมาก กินยาลดไข้เท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล ปวดหัว ปวดกระบอกตา หรือปวดเมื่อยตามตัว มีอาการหน้าแดง ปากแดง
  4. โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นกันบ่อย แต่มักจะเป็นในบางช่วง เมื่อเป็นแล้วมักจะติดกันโดยเฉพาะการติดต่อจากเพื่อนที่โรงเรียน กลุ่มอาการของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้ เป็นผื่นแดง และมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากบริเวณท้องลามไปต้นแขน ขา และใบหน้า หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดและเป็นแผลขึ้น มักหายได้เองประมาณ 2-3 สัปดาห์ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี เริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป ซึ่งเป็นวัคซีนเสริมยังไม่กำหนดเป็นมาตรฐานที่เด็กทุกคนจะต้องฉีด
  5. โรคไอพีดีและปอดบวม หรือที่เรียกว่า Invasive Pneumococcal Disease (IPD) คือ โรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและที่เยื่อหุ้มสมอง ซึ่งมีความรุนแรงและอาจทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ถ้าติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง เด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม และชักได้ ส่วนการติดเชื้อกระแสเลือด เด็กจะมีไข้สูง งอแง ถ้ารุนแรงอาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ 
โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน โรคฮิตหน้าฝนที่เด็กเล็กต้องระวัง

มารู้จักโรคมะเร็งกันเถอะ


โรคมะเร็ง (Cancer) พบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่จะพบในอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนในวัยเด็กพบน้อยกว่าในผู้ใหญ่ประมาณ 10 เท่า

โรคมะเร็งที่พบบ่อย

โรคมะเร็งที่พบบ่อย

โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชาย ได้แก่

โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิง ได้แก่

โรคมะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่


สัญลักษณ์โรคมะเร็ง

“ปู” เป็นสัญลักษณ์ของโรคมะเร็ง คำว่า มะเร็ง หรือ Cancer มาจากภาษากรีก คือ Carcinos ซึ่งแปลว่า ปู (Crab) เนื่องจากก้อนเนื้อมะเร็งมีลักษณะลุกลามออกไปจากตัวก้อนเนื้อเหมือนกับขาปูที่ออกไปจากตัวปู ซึ่งคนแรกที่ใช้ศัพท์นี้ คือ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก


รู้จักโรคมะเร็ง

รู้จักโรคมะเร็ง

โรคมะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากการมีเซลล์ผิดปกติในร่างกายและเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ เซลล์เหล่านี้จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายทั่วร่างกาย ส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ/ อวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก และไขกระดูก


รู้จักเนื้องอก

เนื้องอก คือ ก้อน ตุ่ม ที่โตขึ้นผิดปกติ เกิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อในร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เนื้องอกชนิดธรรมดาและเนื้องอกชนิดร้ายหรือมะเร็ง


รู้จักโรคเนื้องอก

โรคเนื้องอก ได้แก่ มีก้อนเนื้อผิดปกติ แต่โตช้า ไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/ อวัยวะข้างเคียง เพียงกดหรือเบียดเมื่อก้อนโตขึ้น ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายทางกระแสเลือดและทางกระแสน้ำเหลือง จึงเป็นโรคที่รักษาหายได้โดยการผ่าตัด


โรคมะเร็ง VS เนื้องอก

โรคมะเร็งต่างจากเนื้องอกตรงที่ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งจะโตเร็วลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง เข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้าหลอดเลือด กระแสเลือด และหลอดน้ำเหลืองหรือกระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยมักแพร่สู่ปอด ตับ สมอง กระดูก และไขกระดูก ดังนั้นโรคมะเร็งจึงเป็นโรคเรื้อรัง รุนแรง มีการรักษาที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง


กระบวนการเกิดโรคมะเร็ง

เมื่อร่างกายได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมี ไวรัส รังสี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงและในที่สุดเซลล์ปกติก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ถ้าระบบภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์นั้นได้ เซลล์มะเร็งก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนมะเร็งต่อไป


สาเหตุโรคมะเร็ง

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของโรคมะเร็ง แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งอยู่หลายปัจจัย ดังนี้

  1. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย]
    1. สารเคมีบางชนิด เช่น
      • สารเคมีในควันบุหรี่และเขม่ารถยนต์
      • สารพิษจากเชื้อรา
      • สารพิษที่เกิดจากเนื้อสัตว์รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอดจนไหม้เกรียม
      • สีย้อมผ้า
      • สารเคมีบางชนิดที่เกิดจากขบวนการทางอุตสาหกรรม
    2. รังสีต่าง ๆ รวมทั้งรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด
    3. การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น
      • ไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งตับ
      • ฮิวแมน แพพพิโลมา ไวรัส (Human Papilloma Virus หรือ HPV) อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งของเซลล์เยื่อบุต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก
      • เอบสไตน์ บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งโพรงหลังจมูก
      • เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรัย (Helicobacter Pylori) มีความสัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร
    4. พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ มีความสัมพันธ์กับมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
  2. สาเหตุภายในร่างกาย
    • กรรมพันธ์ุที่ผิดปกติ
    • ความไม่สมดุลทางฮอร์โมน
    • ภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง
    • การระคายเคืองที่เกิดซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
    • ภาวะทุพโภชนาการ เป็นต้น

อาการน่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง

ไม่มีอาการเฉพาะของโรคมะเร็ง แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่แตกต่างคือ มักเป็นอาการที่แย่ลงเรื่อย ๆ และเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อมีอาการต่าง ๆ นานเกิน 1 – 2 สัปดาห์ จึงควรรีบพบแพทย์ อย่างไรก็ตามอาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ได้แก่

  • มีก้อนเนื้อโตเร็วหรือมีแผลเรื้อรัง ไม่หายภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังจากการดูแลตนเองในเบื้องตัน
  • มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ มักจะแข็ง ไม่เจ็บ และโตขึ้นเรื่อย ๆ
  • ไฝ ปาน หูดที่โตเร็วผิดปกติหรือเป็นแผลแตก
  • หายใจหรือมีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
  • ไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือด
  • มีเสมหะ น้ำลาย หรือเสลดปนเลือดบ่อย

อาการโรคมะเร็ง

  • อาเจียนเป็นเลือด
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือเป็นมูกเลือด
  • ท้องผูกสลับท้องเสีย โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือมีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น อึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีไข้ต่ำ ๆ หาสาเหตุไม่ได้
  • มีไข้สูงบ่อย หาสาเหตุไม่ได้
  • ผอมลงมากใน 6 เดือน น้ำหนักลดลงจากเดิม 10%
  • มีจ้ำห้อเลือดง่ายหรือมีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อย
  • ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือแขน/ ขาอ่อนแรง หรือชักโดยไม่เคยชักมาก่อน
  • ปวดหลังเรื้อรังและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจร่วมกับแขน/ ขาอ่อนแรง

การวินิจฉัยมะเร็ง

วินิจฉัยมะเร็ง

การวินิจฉัยโรคมะเร็งมีหลายวิธี เช่น

  • การตรวจร่างกายด้วยตนเองและโดยแพทย์
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ และเสมหะ
  • การตัดชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
  • การตรวจทางรังสี เช่น การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การเอกซเรย์เฉพาะอวัยวะ และการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
  • การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษส่องกล้องโดยตรง เช่น การตรวจลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก กระเพาะอาหารและลำคอ เป็นต้น
  • การตรวจพิเศษอื่น ๆ

ระยะของมะเร็ง

ระยะโรคมะเร็ง คือ ตัวบอกความรุนแรงของโรค (การลุกลามและแพร่กระจาย) บอกแนวทางการรักษา และแพทย์ใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง

โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 – 4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะ อาจแบ่งย่อยได้อีกเป็นอีกเป็น เอ (A) บี (B) หรือ ซี (C) หรือ เป็น (1) หรือ (2) เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรักษา ส่วนโรคมะเร็งระยะศูนย์ (0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์เพียงมีลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกราน (Invasive) เข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง

  • ระยะที่ 1 : ก้อนเนื้อ/ แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
  • ระยะที่ 2 : ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/ อวัยวะ
  • ระยะที่ 3 : ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/ อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/ อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
  • ระยะที่ 4 : ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ/ หรือลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/ อวัยวะข้างเคียง จนทะลุ และ/ หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ/ หรือมีหลากหลายต่อม และ/ หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ/ หรือ หลอดน้ำเหลือ / กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/ อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ในช่องอก และ/ หรือต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า

รักษามะเร็ง

รักษามะเร็ง

การตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกย่อมเป็นผลดีต่อการรักษา ซึ่งวิธีการรักษามีดังต่อไปนี้

  1. การผ่าตัด การเอาก้อนที่เป็นมะเร็งออกไป
  2. รังสีรักษา การให้รังสีกำลังสูงเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
  3. เคมีบำบัด การให้ยา (สารเคมี) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
  4. ฮอร์โมนบำบัด การใช้ฮอร์โมนเพื่อยุติการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  5. การรักษาแบบผสมผสาน การรักษาร่วมกันหลายวิธีดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค

การรักษาโรคมะเร็งอาจเป็นวิธีใดวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ

  • ระยะโรค
  • ชนิดของเซลล์มะเร็ง
  • เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ/ อวัยวะใด
  • ผ่าตัดได้หรือไม่ หลังผ่าตัดยังคงหลงเหลือก้อนมะเร็งหรือไม่
  • ผลพยาธิวิทยาชิ้นเนื้อหลังผ่าตัดเป็นอย่างไร
  • อายุ
  • สุขภาพผู้ป่วย

โรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาหายได้ แต่ทั้งนี้โอกาสรักษาหายขึ้นอยู่กับ

  • ระยะโรค
  • ชนิดเซลล์มะเร็ง
  • ผ่าตัดได้หรือไม่ ถ้าผ่าตัดได้สามารถผ่าตัดก้อนมะเร็งออกได้ทั้งหมดหรือไม่
  • มะเร็งเป็นชนิดดื้อต่อรังสีรักษา และ/ หรือ ยาเคมีบำบัด และ/ หรือ ยารักษาตรงเป้าหรือไม่
  • อายุ
  • สุขภาพผู้ป่วย

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน มารู้จักโรคมะเร็งกันเถอะ

อาหาร 5 ประเภทที่ก่อมะเร็ง

“อาหาร” ที่รับประทานกันอยู่ทุกวันนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ แล้ว..อาหารชนิดใดบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง ?  มีดังนี้

  1. เนื้อแดงที่ปรุงด้วยความร้อนสูง: การรับประทานเนื้อแดงไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ หรือเนื้อแพะ ที่ถูกปรุงในความร้อนสูงจนเกรียมแบบปิ้งย่าง หรือปรุงในความร้อนสูงแบบต้ม จะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่าHCA (Heterocyclic Amine)
  1. อาหารแปรรูป: ผลิตภัณฑ์อาหารที่แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น  เบคอน ไส้กรอก แหนม ลูกชิ้น หมูยอ และกุนเชียงมักจะมี ไนโตรซามีน และ โปตัสเซียมไนเตรต เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง
  2. อาหารแห้ง: เมล็ดธัญพืช พริกแห้ง กระเทียม หัวหอม ข้าวโพดแห้ง หรือขนมปัง ที่ถูกเก็บไว้นานเกินไปในอากาศร้อนชื้น อาจเกิดเชื้อราที่ผลิตสาร อฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งหากสะสมมากๆ อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ
  3. อาหารดิบ: การรับประทานอาหารประเภท ลาบก้อย ปลาน้ำจืดดิบ อาจมีพยาธิใบไม้ตับชนิด Opisthorchis viverrini ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งท่อน้ำดี
  4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในช่องปาก มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งอื่นๆอีกหลายชนิด

อย่างไรก็ตาม มีอาหารอีกหลายประเภทที่อาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเร็งได้ ให้รับประทานอาหารที่หลากหลาย และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทราบว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งเหล่านี้ดังที่แนะนำในข้างต้น และควรออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงอยู่เสมอ

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน อาหาร 5 ประเภทที่ก่อมะเร็ง

โรคที่มากับฤดูร้อน

สารพัดโรคที่จะเกิดขึ้นและระบาดมากๆในช่วงหน้าร้อนนี้  เพราะโรคต่าง ๆ ก็มีการพัฒนาหรือกลายพันธุ์ได้จนมีความยากมากขึ้นในการรักษา  ดังนั้นดีที่สุดก็คือการป้องกัน อย่าชะล่าใจจนเป็นโรคต่างๆแล้วมารักษาทีหลังนั้น  ทั้งเสียเวลาและเสียเงิน เสียสุขภาพกาย สุขภาพใจอีกด้วย มาดูกันว่า มีโรคอะไรที่จะมากับหน้าร้อนกันบ้าง

1. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea)

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปมักมีไข้ ปวดท้อง ซึ่งเชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่ลำไส้ได้ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง อุจจาระร่วง หรือการติดเชื้อไปยังอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง ไปจนถึงติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ซึ่งหากเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ จะมีโอกาสทำให้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยค่ะ ดังนั้นควรเลือกทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุก สดใหม่ ไม่ค้างคืน โดยเฉพาะอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบจะบูดเสียง่าย  ไม่กินอาหารสุกๆดิบๆ มีแมลงวันตอม และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร

2. โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)

ติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปมักมีไข้ ปวดท้อง ซึ่งเชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ได้ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดเมื่อย คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือการติดเชื้อไปยังอวัยวะอื่น ไปจนถึงติดเชื้อในกระแสเลือดได้เช่นกัน ซึ่งหากเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ซึ่งภูมิต้านทานโรคลดลงจะมีโอกาสทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ อนึ่งการรักษาหลักคือ การรักษาแบบประคับประคอง ยาฆ่าเชื้ออาจพิจารณาให้ในการติดเชื้อบางกลุ่มเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ยาหยุดถ่ายเอง เว้นแต่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์

3. โรคบิด

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Shigella (บิดไม่มีตัว) หรืออะมีบา (บิดมีตัว) ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร ผักดิบ รวมถึงน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค การติดเชื้อสามารถทำให้เกิดอาการไข้ ปวดท้องบิด ปวดเบ่งถ่ายไม่สุด ถ่ายอุจจาระบ่อย และอาจทำให้อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือดได้อีกด้วย

4. อหิวาตกโรค (Cholera)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่ลำใส้เล็ก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยอาจไม่มีอาการปวดท้อง สามารถก่อให้เกิดูอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยถ่ายเหลวเฉียบพลัน ควรชงผงน้ำตาลเกลือแร่ดื่มชดเชยให้ทันกับสารน้ำที่สูญเสียไป หากอาการไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยไม่สามารถดื่มสารน้ำชดเชยได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินแนวทางการรักษาต่อไป

5. ไข้ไทฟอยด์หรือ ไข้รากสาดน้อย (Typhoid)

อีกหนึ่งโรคที่สามารถติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเช่นกัน ซึ่งเจ้าโรคไข้ไทฟอยด์นี้จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร และอาจท้องผูกหรือท้องเสียได้ นอกจากนี้เชื้อปนก็อาจปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราวได้ด้วย ทำให้เราเป็นพาหะนำโรคได้นั่นเองค่ะ

6. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ (Rabies)

ส่วนใหญ่มักเกิดจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นพาหะนำโรคมาสู่เรานั่นเองค่ะ ซึ่งมักจะพบเชื้อจากสุนัขและแมวนี่หล่ะค่ะ โดยสามารถติดต่อได้จากทั้งการโดนกัด หรือถูกเลียบริเวณที่มีแผลถลอก หรือแม้แต่น้ำลายสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก อีกด้วยค่ะ ซึ่งหากถูกกัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่หรือน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันและต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบเพื่อเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันทีค่ะ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการภายใน 15-60 วัน ซึ่งบางรายอาจใช้เวลานานเป็นปีเลยค่ะ และเนื่องจากปัจจุบันโรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษา จึงทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายใน 2-7 วันหลังแสดงอาการ

จะเห็นได้ว่าเกือบทั้ง 6 โรคที่ต้องระมัดระวังในซัมเมอร์นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อผ่านการรับประทานอาหารและน้ำดื่มทั้งนั้นเลย ยิ่งพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาดแล้ว ยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ จึงขอเตือนให้ระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษเลยนะคะ

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงโรคต่าง ๆ ในหน้าร้อนนี้ ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม หากยังไม่กินก็ต้องเก็บในตู้เย็นหรืออุ่นให้ร้อนก่อนกิน ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม และสุดท้ายคือการดื่มน้ำที่สะอาดนั่นเอง เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก เป็นต้น

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน โรคที่มากับฤดูร้อน

การดูแลเท้าผู้ป่วยโรคเบาหวาน

การดูแลระวังรักษาเท้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน เนื่องจากมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรัง หรือเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงมากกว่าคนปกติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาืั้ดีพอ อาจลุกลามถึงต้องเสียนิ้วหรือเสียขา สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้โดยการเอาใจใส่สำรวจเท้าทุกวัน ถ้าเกิดความผิดปกติควรได้รับการดูแลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

สาเหตุที่ผู้เป็นเบาหวานเกิดแผลที่เท้าง่ายกว่าคนปกติ     

1. ผู้เป็นเบาหวานมานาน ส่วนใหญ่พบมีอาการเสื่อมของประสาทส่วนปลายที่ไปเลี้ยงมือและเท้า การรับรู้ความรู้สึกน้อยลงเกิดอาการชาโดยเฉพาะนิ้วเท้า เป็นแผลโดยไม่รู้ตัวหรือกว่าจะสังเกตพบแผลก็ลุกลามไปมาก เมื่อประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อขาและเท้าเสื่อม กล้ามเนื้อจะแฟบลงทำให้รูปร่างของเท้าผิดปกติ นิ้วเท้างอขึ้นเท้ารับน้ำหนักไม่สม่ำเสมอ บริเวณที่รับน้ำหนักมากหรือถูกกดอยู่เป็นเวลานานจะหนาขึ้นเกิดเป็นตาปลาหรือเป็นแผล

     2.การไหลเวียนของโลหิตที่ไปสู่ขาลดลง เนื่องจากผนังหลอดเลือดแดงหนาขึ้น ทำให้ขาดออกซิเจน ผิวหนังจะบางลง แผลหายช้า เกิดอาการปวดน่องเวลาเดิน ถ้าเป็นมากจนหลอดเลือดอุดตันเนื้อเยื่อส่วนปลายจะตายมีสีคล้ำดำขึ้น จนต้องตัดนิ้วหรือนิ้วแห้งดำหลุดไปได้

     3.ผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในโลหิตสูงอยู่นาน จะเกิดการติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อราที่ผิวหนังระหว่างนิ้วเท้า ทำให้ผิวหนังถลอกมีแผลเกิดขึ้น อาจจะมีเชื้อโรคที่รุนแรงเกิดขึ้นตามมา

     การป้องกันการเกิดแผลที่เท้า

​     1.สำรวจเท้าทุกวัน เช่น รอยบวมแดง ผื่นคัน ตุ่มน้ำใส ขุยขาวที่ซอกนิ้วเท้า ตาปลาและสีเล็บ

     2.ทำความสะอาดเท้า ล้างเท้าให้สะอาดทุกวันด้วยสบู่และน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ไม่ใ้ช้น้ำเย็นจัดหรือร้อน เช็ดเท้ารวมทั้งตามซอกนิ้วเท้าให้แห้ง อย่าถูแรง

     3.นวดผิวหนังที่ขาและเท้าด้วยน้ำมันวาสลิน หรือโลชั่นเพื่อให้ผิวหนังนุ่ม ป้องกันผิวแห้งและป้องกันอาการคันและเกาจนเกิดแผล แต่ไม่ควรทาบริเวณซอกระหว่างนิ้วเท้า

     4.อย่าใช้มีดหรือของมีคมตัดตาปลาหรือหนังด้าน

     5.ถ้าเท้าชื้นมีเหงื่อออกต้องเช็ดให้แห้งเสมอ

     6.ถ้ามีแผลเล็กน้อย ล้างด้วยน้ำสะอาด ห้ามใช้ยาฆ่าเชื้ออย่างแรงหรือทิงเจอร์ไอโอดีน เพราะอาจทำให้แผลถลอกเป็นมากขึ้น ถ้าแผลใหญ่บวมแดงควรรีบปรึกษาแพทย์

     7.การตัดเล็บ ระวังการตัดเล็บเท้า ต้องตัดเล็บในที่สว่างเห็นได้ชัดเจนและควรตัดเล็บภายหลังอาบน้ำ เพราะเล็บจะนุ่มตัดง่ายขึ้น ควรตัดตามแนวของเล็บเท่านั้น ห้ามตัดเล็บลึกถึงจมูกเล็บ

     8.ใส่ถุงเท้าที่สะอาด และไม่ใช้ถุงเท้าที่รัดเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่สะดวก

     9.รองเท้า รองเท้าต้องนุ่มสบาย ใส่สบาย ระวังถ้าใส่รองเท้าคู่ใหม่ไม่ควรเดินเกินครั้งละ 1/2-1 ชั่วโมง ควรมีรองเท้า 2-3 คู่ ที่เหมาะสมไว้สับเปลี่ยน

   10.ปกป้องเท้า ไม่เดินเท้าเปล่า และควรสวมรองเท้านุ่มๆ พื้นรองเท้าผลิตจากวัสดุกันลื่นขณะอยู่ในบ้าน

   11.อย่าวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นที่เท้า ถ้าเท้าเย็นเวลานอนควรสวมถุงเท้า แต่ควรเป็นถุงเท้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป

   12.อย่านั่งไขว้ขา เพราะจะกดเส้นเลือดทำให้โลหิตไปเลี้ยงเท้าไม่สะดวก

   13.บริหารเท้า เพื่อให้มีการไหลเวียนของโลหิตไปสู่เ้ท้าดีขึ้น

   14.ควบคุมเบาหวานให้ดี รักษาระดับน้ำตาลอยู่ให้ระหว่าง 80-130 มก./ดล.

   15.มีปัญหาปรึกษาแพทย์

โพสท์ใน Fact Knowledge, สาระน่ารู้ | ปิดความเห็น บน การดูแลเท้าผู้ป่วยโรคเบาหวาน